เทศน์เช้า

มองภาพลักษณ์พระ

๑๑ เม.ย. ๒๕๔๑

 

มองภาพลักษณ์พระ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๔๑
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อาจารย์มหาบัวท่านพูด อาจารย์มหาบัวบอกว่า “หลวงปู่ฝั้นนิ่มนวลมากเลย” เห็นไหม เป็นจริตนิสัยหลวงปู่ฝั้น นิ่มนวลมากเลย แต่ของอาจารย์มหาบัวนี่ท่านว่า ท่านบารมีขี้ทุกข์ แต่ความจริงแล้วท่านบารมีใกล้เคียง แบบว่าเป็นผู้จะฝึกสอนคนมันต้องมีพระเดชไง แต่พระเดชอันนี้ไม่ใช่พระเดชด้วยกิเลส พระเดชโดยธรรม คือว่าทำให้ดูว่าเป็นคนดุไง ดุให้คนยำเกรงเพื่อจะได้ปฏิบัติ เห็นไหม นี่เป็นอีกอย่างหนึ่ง

แต่ของหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์ท่านเป็นศิษย์เอกนะ ท่านบวชแล้ว นี่หลวงปู่ฝั้นบวช ญัตติมาเป็นธรรมยุตก็เพราะหลวงปู่ดูลย์นะ หลวงปู่ดูลย์ธุดงค์ไปไง เพราะสุรินทร์กับอุบลราชธานีใกล้กัน อยู่กับหลวงปู่มั่นมาก่อน แล้วพอเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นได้ธรรมแล้วก็ออกไป ก็ด้วยความเมตตาไง ท่านถึงว่าเป็นพระที่นิ่มนวล เป็นพระว่ารู้จริง รู้ตามความเป็นจริง เยี่ยมด้วย แต่พระเดชไม่รุนแรงไง

เรื่องความเมตตา ท่านหนักในทางเมตตา คนนี่ขึ้นแล้วแบบชอบมาก ทีนี้พอมีความเมตตาท่านก็รับหมด ทีนี้รุ่นที่บวชนี้เป็นรุ่นหลาน เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ดูลย์ ถ้าว่าเป็นสายหลวงปู่มั่นไหม? ใช่ เป็นสายหลวงปู่มั่น…

วันนี้วันพระนะ วันพระแล้ววันสงกรานต์ด้วย วันที่ ๑๑ เป็นวันเริ่มเขาเล่นสงกรานต์ ปีนี้หยุด ๕ วัน วันสงกรานต์เป็นประเพณีของชาวไทย เป็นประเพณีการขึ้นปีใหม่ ถ้าจะพูดประสาเราก็เป็นประเพณีของชาวพุทธในเมืองไทย เป็นประเพณีของชาวพุทธ เพราะชาวพุทธอยู่กัน เดือนเมษายนมันหน้าร้อนใช่ไหม?

แล้วเมื่อก่อนนี่เป็นวันขึ้นปีใหม่ แล้วเป็นประเพณีของผู้เข้าถึงจิตวิญญาณของวัฒนธรรม การผูกแขน การขอขมาผู้ใหญ่ นี่มันเป็นนโยบายให้มีความระลึกถึงคุณกัน แต่เดี๋ยวนี้เข้ากันแต่วัตถุไง เล่นสงกรานต์ก็เอาแต่ว่าอะเมซิ่งไทยแลนด์ เอาคนเขามาดูประเพณีสงกรานต์ จะเอาแต่เงิน เอาแต่วัตถุไง

เหมือนกัน พระเหมือนกัน มองดูที่พระสิ เห็นไหม เป็นภาพสัญลักษณ์ของพระ ของลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ควรเคารพนับถือ แต่ถ้าเอาความรู้สึกเข้ามาจับ พระนี่มาจากไหน? มาจากคน คนที่โกนหัวแล้วห่มผ้าเหลือง เอาวิทยาศาสตร์เข้ามาจับมันจะไม่เห็นคุณค่าเลย แต่ไม่ได้มองถึงว่าไอ้นี้มันเป็นตามความเป็นจริงที่เป็นจริงนะ เป็นจริงตามสมมุติไง จริงที่พระพุทธเจ้าให้เป็นจริง

อย่างเช่นคนเป็นข้าราชการ เห็นไหม บรรจุข้าราชการ ตามตำแหน่งฐานะเขาเป็นข้าราชการ ไอ้นี้ก็เหมือนกัน ตามจตุตถกรรม คือว่าญัตติไง จตุตถกรรม ญัตติออกมาจากเป็นพระ พอออกมาจากเป็นพระ แต่ถ้าเอาความเจริญ เราจะบอกว่าเอาความเจริญเข้ามาจับ พระนี้คืออะไร? ก็คนหัวโล้นห่มผ้าเหลืองใช่ไหม? ก็มองแค่นั้น ก็เลยจะว่ามันไม่มีคุณค่าไง ก็เหมือนเรา เหมือนเขา

เราก็เป็นคนๆ หนึ่ง เราห่มผ้าเหลืองเมื่อไหร่ก็ได้ ฉะนั้น ถึงว่าความเคารพมันไม่มีไง ความเคารพ ความชิดเชื้อ มันก็เลยกลายเป็นมองว่าเป็นความใกล้ชิด แต่เรามองถึงครูบาอาจารย์ มองถึงพระพุทธเจ้าสิ เห็นไหม เป็นภาพสัญลักษณ์ไง นี่เป็นสัญลักษณ์ เป็นวัตถุ ความที่เราจับต้องวัตถุ แล้วเราใช้วิทยาศาสตร์เข้าไปจับไง ใช้วิทยาศาสตร์ ใช้วัตถุเข้าไปจับ มันเลยเห็นเป็นวัตถุไง เราไม่ได้จับด้วยศีลธรรม ด้วยจิตวิญญาณ

ถ้าจิตวิญญาณตัวนั้น ทำไมถึงว่าหัวใจมันถึงชำระกิเลสได้ ทำไมถึงเป็นผู้บริสุทธิ์ได้ ทำไมเราไม่สามารถชนะตัวเราเองได้ ลูกศิษย์ตถาคตเป็นผู้ที่สงบระงับแล้ว เป็นผู้ที่ชนะตนไง ชนะหัวใจของตน เห็นไหม ชนะความโลภ ชนะความโกรธ ชนะความหลง นี่เราไม่เป็นผู้ชนะไง แต่เราไปมองกันแค่เปลือกว่าคนห่มผ้าเหลือง แต่ไม่ได้มองถึงจิตวิญญาณ ถึงความเป็นไป

นี่จะชักเข้ามาไอ้ที่ว่าสงกรานต์ เห็นไหม เราเข้าถึงแต่วัตถุกัน ประเพณีเอาน้ำมารดไง แต่เราไม่เข้าถึงความหมายของประเพณี ว่าความกตัญญู ความรู้คุณ แล้วก็ประเพณีท้องถิ่น ความพื้นที่ว่าหน้าร้อนเอาน้ำมารดกัน น้ำนี่เป็นแค่สัญลักษณ์ เหมือนเรากรวดน้ำ พิธีการกรวดน้ำ เพื่อให้หัวใจแน่วแน่ เผื่อแผ่ส่วนกุศลถึงเปรตญาติ ถึงญาติของเรา ถึงเจ้ากรรมนายเวร แต่เอาน้ำนั้นมา เพ่งน้ำนั้นเพื่อให้ถึงไง ให้กระแสใจนั้น

เพราะจิตวิญญาณเข้ากับจิตวิญญาณ วัตถุเข้ากับวัตถุ ประเพณีเป็นประเพณี แต่ผู้ที่เข้าถึงจิตวิญญาณ เอาประเพณีนี้มาเป็นประโยชน์ไง แต่เราเข้าถึงประเพณี เข้าถึงวัตถุ เอาประเพณีนี้มาเป็นวัตถุ มาเพื่อเป็นผลประโยชน์ไง ไม่ใช่เอาประเพณีนี้เพื่อความเจริญของจิตวิญญาณไง ความเจริญของสังคมไง ความเจริญของสังคม เด็กเคารพผู้ใหญ่ไง เดี๋ยวนี้ถ้าเด็กมองผู้ใหญ่ว่าไดโนเสาร์ เห็นไหม แต่ประสบการณ์ของชีวิตที่ผ่านมา ไดโนเสาร์เพราะอะไร? เพราะว่าความรอบคอบ ความรู้เท่า ความรอบคอบนะ แต่พวกวัยรุ่น พวกใจร้อน พวกอยากได้ อยากให้มันเป็นไปโดยความเป็นจริง อย่างเช่นเรื่องวัตถุนิยม ทุกอย่างแก้ไขได้

สุดท้ายของการแก้ไขที่ทำไม่ได้คือสงคราม ปากกระบอกปืนสามารถแก้ไขได้หมดไง คือลบออกแล้วเริ่มต้นใหม่ เห็นไหม แต่ถ้ามาเป็นถึงจิตวิญญาณมันทำอย่างนั้นไม่ได้ เช่นลูกของเรา เช่นกรรมที่มันสัมผัสมา กรรมมันให้ผลมา เราจะสลัดออกได้อย่างไร?

เราไม่สามารถทำลายได้ ลูกสามารถตัดพ่อแม่ได้ พ่อแม่ไม่สามารถตัดลูกได้ เห็นไหม กรรม แต่ลูกมันสามารถ ประเพณีเราถึงไม่ยอมให้เป็นไป อันนี้คือว่ามันแก้ด้วยปากกระบอกปืนไม่ได้ไง แก้ด้วยวัตถุนิยมไม่ได้ มันต้องแก้ด้วยจิต ด้วยกรรม ด้วยการกระทำ ด้วยการให้อภัย ด้วยการแผ่กุศลออกไป พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าจิตนิยมก็ไม่ใช่ วัตถุนิยมก็ไม่ใช่ มันระหว่างจิตกับวัตถุ

เพราะ! เพราะคนเกิดมามันต้องมีกาล มันมีแสวงภพไง สัมภเวสีคือจิตวิญญาณที่เร่ร่อนไป เห็นไหม เสวยภพเป็นเทวดาก็เป็นเทวดา เสวยภพเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาเป็นผู้ที่เอกมาก เอกตรงไหน? เอกที่รู้วิชชา ๓ รู้แบบบุพเพนิวาสานุสติญาณ หมายถึงว่าที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ที่เกิดมาเราอยู่ด้วยกัน เกิดมาเพราะกรรมสัมผัสอย่างไร? กรรมสัมพันธ์อย่างไร? กรรมอันนี้ถึงว่าตัดกันไม่ได้ไง

ถึงบอกว่าไม่สามารถแก้ด้วยวัตถุนิยม อย่างที่เขาว่าบอกว่าสุดท้ายคือสงคราม สามารถชำระล้างแล้วเริ่มต้นใหม่ แต่กรรมชำระล้างแล้วไม่มีการเริ่มต้นใหม่ ชำระล้างเลย เพราะนิพพานแล้วไม่เกิดอีกไง สามารถชำระๆ ชำระจนสิ้น สิ้นแล้วเป็นผู้ประเสริฐไง เป็นผู้ชนะความโลภ ความโกรธ ความหลง ชนะตนเองไง

ชนะความโลภ ความโกรธ ความหลง ยังมาหลงในตัวเองนะ เพราะโลภ โกรธ หลงนี้มันเป็นขันธ์ ๕ ไง มันเป็นภพอยู่เฉยๆ แต่ผู้ที่ชนะภพทั้งหมดแล้วก็ยังมีจิตอีกตัวหนึ่ง เห็นไหม ตัวนั้นคือตัวอวิชชา ตัวไม่รู้เท่าตัวเอง จนชนะตัวนั้นมันถึงว่าประเสริฐ มันประเสริฐมหาศาล ศาสนาถึงบอกว่าไม่ใช่คนหัวโล้นห่มผ้าเหลือง เป็นลูกศิษย์ตถาคตไง เป็นศากยบุตร บุตรของพระพุทธเจ้าผู้จะดำเนินรอยตาม ฉะนั้น ภาพสัญลักษณ์นั้น ถ้าเรายกไว้เราจะทำบุญด้วยความเคารพไง

เราสังเกต เห็นภาพสัญลักษณ์ เห็นพระไง เห็นพระเหมือนพระ เห็นพระเป็นพระ เห็นพระเป็นคน เห็นพระเป็นลูกชาวบ้าน ไหว้พระก็ไหว้ลูกชาวบ้าน มันไหว้ไม่ลงไง เอาวิทยาศาสตร์เข้าไปจับไง แต่ถ้าเราเอาตามความเป็นจริงนะ เอาความเป็นจริงว่าลูกศิษย์ตถาคต ศาสนานี้แม้แต่พระอินทร์ยังต้องมาอุ้มบาตรของพระพุทธเจ้า แม้แต่พระอินทร์ยังเป็นคนอุปัฏฐากบาตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่สอนเฉพาะมนุษย์นะ สอนถึงเทวดา สอนหมดเลย เห็นไหม ประเสริฐไง

มนุษย์นี้เป็นผู้ที่ศึกษาธรรมะ ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า จนตรัสรู้ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เป็นผู้เอามาบอกมากล่าวไง คือว่าให้ธรรมเป็นทาน เห็นไหม เราว่าเราให้ธรรมเป็นทาน เห็นพระเป็นผู้เอาเปรียบสังคมไง แต่พระให้จิตวิญญาณตัวนี้ ให้ความรู้ธรรมเป็นทาน ทานที่เหนือกว่าวัตถุทานที่เราให้ทานกันอยู่นี้ เห็นไหม

ให้ธรรมเป็นทาน ให้ความเป็นจริงไง ให้ความเป็นจริงให้หล่อเลี้ยงโลก ให้โลกอยู่กันด้วย อย่างเช่นเครื่องยนต์ ถ้ามีน้ำมันหล่อลื่น เครื่องยนต์นี้จะติดไปได้ตลอด ถ้าเครื่องยนต์นั้นไม่มีน้ำมันหล่อลื่น เครื่องยนต์นั้นไปไม่ได้ จะติดขัด จะเสียทันที ธรรมะประสานโลกไง ธรรมะประสานสามโลกธาตุ ไม่ใช่ธรรมะประสานเฉพาะโลกนี้โลกเดียวนะ ประสานถึง ๓ โลกธาตุ

เพราะจิตวิญญาณ เห็นไหม แม้แต่เราทำบุญกันเรายังอุทิศส่วนกุศลถึงเปรตญาติ ถึงเจ้ากรรม ถึงนายเวร ถึงคนที่สิ้นไปแล้ว ประสานทั้งความเป็นประโยชน์ในโลกเรา ประสานให้โลกเรามีความร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม นี่ธรรม คือหล่อเลี้ยงโลกไง ธรรมชำระหล่อเลี้ยง ยังหล่อเลี้ยงถึงสามโลกธาตุ จากมนุษย์นี้อุทิศส่วนกุศลยันผู้ที่จะรับของส่วนบุญอันนั้นได้

เพราะถึงสามโลกธาตุ ไม่มีหรอก ไม่มีน้ำมันหล่อลื่นไหนที่จะประสานได้ถึงสามโลกธาตุ ในเครื่องๆ เดียวนั้นยังเหือดแห้งเลย ยังต้องคอยเติมตลอดเวลา ธรรมะพระพุทธเจ้านี้ประเสริฐ พระพุทธเจ้าตรัสรู้มา แล้วมาประทานไว้ วางไว้ให้เราดำเนินตาม ฉะนั้น ถ้าเราใกล้ชิด เราไปมองเป็นภาพลักษณ์ เราไปมองว่าเป็นอย่างนั้น แล้วเอาวิทยาศาสตร์เข้าไปจับ เราจับแล้วความเคารพเราจะต่ำลงไง เราจะเห็นว่าเราก็วัตถุเหมือนกัน คนหัวโล้นห่มผ้าเหลือง

เราก็คน เห็นไหม มันเข้ากันแล้ว ความเท่ากัน ความใกล้ชิดกัน ตัวนั้นแหละ พอความใกล้ชิดกันมันเป็นผลโทษตรงไหน? โทษที่ปิดหัวใจของตัวเองไง พอความตีเสมอ ความเสมอ ความทัดกัน มันจะยอมฟังกันไหม? มันฟังคนที่สูงกว่าเรา คนที่ดีกว่าเรา เราถึงจะฟังคนๆ นั้นจริงไหม?

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามองว่าอันนี้ มองพระ มองการทำบุญกุศล มองแล้วมันจะเกิดเจตนาของเราไง เกิดเจตนา เกิดความเปิดหัวใจไง หงายของที่คว่ำอยู่ เห็นไหม เปิดหม้อออกเพื่อฟังธรรมไง เพื่อธรรมที่ว่าสมานโลกธาตุ ให้สมานเข้าไปในหัวใจเราไง ให้ชำระกิเลสของเรา ให้เรามีความเป็นสุข ให้เราชนะตนเองไง ให้เราเป็นที่พึ่งของเราได้ ธรรมะพระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น

เริ่มต้น! นี่คือการเริ่มต้น นี่คือการเริ่มต้นที่เราจะหงายภาชนะเท่านั้นเอง นี่คือการเริ่มต้นที่เราจะได้กุศลเท่านั้นเอง ถ้าเราไปมองกันอย่างนั้น มองแบบโลก มองแบบภาพลักษณ์ มองแบบความเหมือนกัน มองแบบวัตถุ มองแบบนั้นมันก็จะเป็นแบบนั้น ถ้าเรามองแล้วเราเข้าใจ ก่อนจะเข้าใจก็ต้องศึกษาธรรมด้วย ศึกษาความเป็นไปว่าระหว่างหัวใจกับร่างกาย ระหว่างจิตวิญญาณที่มาปฏิสนธิ แล้วจิตวิญญาณที่จะต้องดับไป แล้วจิตวิญญาณต้องไป ต้องเกิด ต้องดับ ต้องเกิด ต้องดับไปตลอด แต่แค่นี้ชาติมนุษย์ชาติเดียวนี่แป๊บเดียว

นี้เราเกิดแล้วเราไม่ลืมตัวไง ความไม่ลืมตัว ความรู้จักของเรา ความเข้าใจ เพราะความได้ฟังธรรมนี่แหละจะทำให้เราเป็นประโยชน์ต่อไป เป็นประโยชน์นะ เป็นประโยชน์สำหรับเรา เป็นต่อๆ ไป เพราะขณะนี้มันเป็นประโยชน์มาก ประโยชน์มากเพราะเราเข้ามาในศาสนาไง เข้ามาในศาสนา เข้ามาใกล้ชิดไง เข้ามาใกล้ธรรมะที่จะหล่อเลี้ยงเราไง สักวันหนึ่งหัวใจมันจะพลิกไปนะ

หัวใจมนุษย์ พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนช้างสารที่ตกมัน มันจะดื้อ แล้วมันจะสะบัด แล้วมันจะไม่ยอมอยู่ในอำนาจของใคร ช้างสารที่ตกมัน ดูสิดูช้างที่ตกมัน มันจะฟังใคร? มันดิ้น มันไปของมันตลอด ไม่มีอะไรเอามันอยู่เลย เห็นไหม หัวใจของมนุษย์ แล้วหัวใจนี้มันยอม มันเชื่อง มันฟังธรรมะพระพุทธเจ้า ถึงเข้ามาในศาสนา ถึงมาทำบุญกุศลอยู่นี่เพราะอะไร? นี่ถึงว่าอันนี้มันประเสริฐ มันประเสริฐตรงนี้ไง เราถึงใช้ตรงนี้ให้เป็นประโยชน์ไง ตรงนี้เป็นจุดเริ่มสตาร์ท ถ้าจุดสตาร์ทเรารบซะ เห็นไหม นักกีฬา จุดสตาร์ทที่ออกแข่งขัน ถ้าคนนั้นไม่เข้าจุดสตาร์ท เราไม่ใช่นักกีฬา เราเป็นผู้ดูกีฬา เราไปในสนามกีฬา เราเป็นผู้ดูเราไม่มีโอกาสเลย แต่เราเป็นนักกีฬา เราไปแข่งขัน เรามีโอกาสจุดสตาร์ท

นี่จุดสตาร์ทของตัวศรัทธาไง ตัวหัวใจที่เริ่มต้นสตาร์ทไง นี่ถ้าเราเริ่มตรงนั้น เราก็จะได้เริ่มแข่งขัน เราจะได้บุญกุศล เห็นไหม เราจะได้ดึงเข้ามาในหัวใจเป็นสมบัติของเราไง เราไม่ใช่ผู้ดูที่เฮฮาสนุกไปกับเขา เราเป็นผู้ร่วมแข่งขัน ร่วมแข่งขันเอาบุญกุศลใส่หัวใจของเรา เพราะใจนี้เกิดดับไปเรื่อยๆ ไง เราจะได้ตรงนี้ไง ตรงที่เราเริ่มสตาร์ท เริ่มออกไป

นี่จุดเริ่มเข้ามาศรัทธา ศรัทธาเริ่มสตาร์ทแล้วก็เริ่มขนเข้ามาสิ เริ่มเปิดหัวใจ เริ่มทำสิ เริ่มทำศีล สมาธิ ปัญญาไง นี่ถ้าเราอย่างนั้น ขณะแค่นี้นะ แค่ความเห็นแค่นั้นเองนะ แล้วมันจะเป็นประโยชน์ต่อไป ถ้าความเห็นนี้เป็นรบไง จุดสตาร์ท พอจะเริ่มแข่งขันวิ่งออกแล้ว เราถึงจุดสตาร์ทแล้วเราจะเดินออกไปนั่งอยู่ เห็นไหม ต่างกันไหม?

จากจุดสตาร์ทเราก็วิ่งแข่งขัน วิ่ง ๑๐๐ เมตร เราได้วิ่ง ๑๐๐ เมตรแข่งขัน เขาวิ่งแข่งขันกัน แต่เราถึงจุดสตาร์ท เราเก็บสตาร์ท เรากลับไปนั่งบนอัฒจันทร์จะไปดูแทน (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)